Canon EOS 550D

วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

Introduction

Introduction

          ก่อนจะศึกษาเรื่องการถ่ายภาพ ขั้นแรกจะต้องหัดควบคุมกล้องให้ได้ก่อน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก จากนั้นเมื่อคุมกล้องได้แล้ว ต่อไปก็คือลองถ่ายภาพในสนามจริงเพื่อดูว่ามีปัยหาอะไรบ้าง แล้วจึงคิดวิเคราะห์แก้ปัญหาเหล่านั้น

หัวใจสำคัญควบคุมกล้องให้ได้

          สิ่งที่มือใหม่มักจะพบบ่อย ก็คือ ทำไมถ่ายแล้วไม่ได้ดังใจ มองในกล้องสวยงาม ถ่ายออกมามืดบ้างสว่างบ้าง ปัญหาทั้งหมดมาจากการควบคุมกล้อง หรือตั้งค่าต่างๆก่อนถ่ายไม่ถูกต้องนัก ปัญหานี้มักจะเกิดขึ้นในระยะแรกแต่เมื่อใช้กล้องไปซักระยะหนึ่ง ก็จะเรืิ่มควบคุมกล้องได้มากกว่าเดิม แต่หากไม่มั่นใจว่าควบคุมได้ดีหรือยัง ให้ลองถ่ายภาพเดิมหลายๆครั้ง เพื่อดูแม่นกับสถานการณ์นั้นหรือยัง

คิดก่อนถ่ายสักนิดว่าจะเล่าเรื่องอะไร

          รุปส่วนใหญ่มักจะเป็นลักษณะ snap ถ่ายไปเรื่อย ภาพที่ดีควรมีเรื่องราวที่ชัดเจน สื่ออกมาเข้าใจง่าย เป็นเรื่องราว ภาพที่ดีส่วนมากมักมีกลยุทธ์ในการนำเสนอภาพที่แปลกตา เทคนิคเหล่านี้ฝึกฝนได้ไม่ยาก เพียงแค่คิดหรือจินตนาการเอาไว้ก่อน แนวคิดอาจจะได้มาจาก การที่ฝึกฝน หรือการศึกษาตัวอย่างภาพถ่ายมากๆ

เตรียมตัวให้พร้อมก่อนถ่ายมากที่สุด
         
          สิ่งสำคัญของการออกไปถ่ายภาพ การเตรียมตัวต้องพร้อมมากที่สุด บางรั้งต้องเหนื่อย ต้องลงทุน ต้องเลอะเทอะ เพราะการเตรีมพร้อมที่ดี โอกาศได้ภาพดีๆ ก้ไม่ใช่เรื่องยาก บอกว่าอยากถ่ายภาพตอนกลางคืน แต่ไม่อยากแบกขาตั้งกล้องไปเพราะหนักก็อย่าไปดีกว่าเพราะคงจะได้แต่ภาพเบลอกลับมา หรือการถ่ายภาพดีๆมาหลายๆภาพแล้วมาเลือกเอาทีหลังก็ย่อมดีกว่าแน่นอน

อย่ามัวแต่ถ่าภาพให้ระวังตนเองด้วย

          ในสนามจริงอาจเกิดอุบัติเหตุในการถ่ายภาพ การศึกษาหาข้อมูล โดยเฉพาะปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับการถ่ายภาพในลักษณะที่ต้องการ เพื่อเตรียมรับกับปัญหาเหล่านั้น

ฝึกฝนบ่อยๆ
         
          หากคิดว่าฝีมือยังไม่ดีพอ หากคิดว่าฝีมือยังไม่ดีพอก็ต้องถ่ายภาพบ่อยๆ แล้วจะเริ่มมองแสงออก มีมุมองใหม่ๆ หรือดูภาพจากคนถ่ายภาพคนอื่นๆ ลองคิดและลองถ่ายดูว่าในสถานการณ์เช่นนั้นจะต้องถ่ายภาพอย่างไร ถ่ายแล้วสวยกว่าหรือแย่กว่า คนที่ถ่ายไปแล้ว วิเคราะห์ว่าเกิดจากอะไร ที่สำคัญอย่าหลอกตัวเอง

        

วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553

พื้นฐานการจัดองค์ประกอบภาพถ่ายและเทคนิค ตอนที่ 2

พื้นฐานการจัดองค์ประกอบภาพถ่ายและเทคนิค ตอนที่ 2

          รวมเทคนิคการถ่ายภาพให้น่าสนใจ โดยเป็นเทคนิคที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในช่างภาพสมัครเล่นและอาชีพ


--------------------------------------------------------------------------------

LAYERS

หากคุณชอบถ่ายวิวทิวทัศน์หรือภูเขา ควรใช้เทคนิคการใช้ Layer มาเป็นตัวแบ่งสัดส่วนภาพเป็นชั้นๆ เพื่อให้เกิดภาพลักษณะที่มีมิติลึก

          โดยชั้นแรกเลือกใช้ฉากหน้า (Foreground) ให้เลือกบริเวณที่อยู่ใกล้ตัวเรา และชั้นถัดไปคือบริเวณตรงกลาง(Center) เลือกพื้นที่ที่ไกลออกไปมากกว่าฉากหน้า ส่วนฉากหลัง (Background) ก็เลือกบริเวณที่ไกลที่สุดในภาพ

LAYERS



LAYERS

--------------------------------------------------------------------------------

FRAMING (เฟรม)

          เฟรมเป็นเทคนิคการสร้างกรอบให้กับจุดสนใจในภาพโดยเลือกการใช้มุมกล้อง เฟรมจะช่วยบังคับสายตาของผู้ชมภาพให้มองไปที่จุดสนใจของภาพที่เราต้องนำเสนอ โดยที่กรอบจะอยู่ด้านหน้าหรือหลังจุดสนใจก็ได้ แต่จะต้องไม่บังตำแหน่งของจุดสนใจ




เฟรมที่เกิดจากธรรมชาติ


 
เฟรมที่มนุษย์สร้างขึ้น



เฟรมที่มนุษย์สร้างขึ้น

--------------------------------------------------------------------------------

REFLECTIONS/MIRRORS (ภาพเงาสะท้อน/ภาพกระจกสะท้อน)

          ภาพเงาสะท้อนเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจลงไปในภาพด้วยการสะท้อนของพื้นผิวหรือแหล่งน้ำ ซึ่งเทคนิคนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก




แสงสะท้อนในแหล่งน้ำตอนกลางคืน



แสงสะท้อนในแหล่งน้ำตอนกลางคืน


ภาพกระจกสะท้อน MIRRORS


ภาพกระจกสะท้อน MIRRORS


 
ขอจบบทความตอนที่ 2 เท่านี้ครับ

วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553

พื้นฐานการจัดองค์ประกอบภาพถ่ายและเทคนิค ตอนที่ 1

พื้นฐานการจัดองค์ประกอบภาพถ่ายและเทคนิค ตอนที่ 1


ปีทาโกรัส : Pythagoras

          ปีทาโกรัส เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะของนักคณิตศาสตร์ผู้คิดค้นสูตรคูณ หรือตารางปีทาโกเรียน (Pythagorean Table)และทฤษฎีบทในเรขาคณิตที่ว่า "ในรูปสามเหลี่ยมมุมฉากใด ๆ กำลังสองของความยาวของด้านตรงข้ามมุมฉาก เท่ากับผลบวกของกำลังสองของความยาวของด้านประกอบมุมฉาก" และนักคณิตศาสตร์ชาวกรีกได้ประยุกต์เอาทฤษฎีของปีทาโกรัสมาประยุกต์ใช้ทางด้านสถาปัตยกรรมและทางด้านศิลปะ เป็นสูตรสำเร็จแห่งความสวยงามและลงตัวในทฤษฎีที่เรียกว่า Golden mean ซึ่งทฤษฎีเหล่านี้เป็นที่ยอมรับ และใช้กันมาจนปัจจุบันนี้

วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

ความหมายของตัวย่อต่างๆในการดูเลนส์

ความหมายของตัวย่อต่างๆในการดูเลนส์
ตัวย่อของ Canon 

EF = Electro-Focus เป็นชื่อ เมาท์มาตรฐานของ เลนส์ Canon ใช้ได้กับกล้อง EOS ฟิลม์ และดิจิตอล ที่
         เป็น Full Frame ทุกตัว
EF-S = EF with Short back focus สำหรับกล้องดิจิที่มีตัวคูณ ในระบบ EOS
IS = Image Stabilizer = ระบบกันสั่นเวลาถ่ายภาพ
USM = Ultra Sonic Motor มอเตอร์ focus ความเร็วสูงและเงียบ
FTM = Full time manual focus ในขณะใช้ mode auto focus ก็สามารถใช้ manual focus ได้ทันทีไม่ต้องไป
            ปรับปุ่มเลย ส่วนใหญ่จะคู่กับระบบ USM ครับ
DO = Diffractive Optical คือ ชิ้นเลนส์พิเศษที่ทาง Canon พัฒนาขึ้นมามีลักษณะเป็นวง ๆ ซ้อน ๆ กัน
L = Luxury Grade = ชิ้นเลนส์คุณภาพสูงของ canon เลนส์ทำจาก UD glass (Ultra-low Dispersion)
      รหัสที่ตัวเลนส์นะครับ

วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2553

คู่มือเลือกซื้อกลอ้ง DSLR 2

คู่มือเลือกซื้อกลอ้ง DSLR 2

จอมอนิเตอร์

          ปัจจุบันกลอ้งดิจิตอลมีจอมอนิเตอร์ที่ใหญ่มากขึ้น เช่น 2.5 หรือ 3.0 นิ้ว ทำให้มองดูภาพ เมนู ตัวอักษร และไอคอนต่างๆ ได้อย่างชัดเจน การแบ่งปันภาพที่ถ่ายไปแล้วให้เพื่อนฝูงดูทำได้สะดวกมากขึ้น การเลือกจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่จึงควรเป็นสิ่งที่ใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้อกลอ้ง อย่างไรก็ตามหากมีกลอ้งที่จอมอนิเตอร์ขนาดเท่ากัน ให้ดูความละเอียดของจอภาพเปรียบเทียบอีกทีหนึ่ง เพราะจอที่มีความละเอียดมากกว่า เช่น 150,000 กับ 230,000 พิกเซล จอที่ความละเอียดสูงกว่าจะแสดงภาพได้ชัดเจนกว่า และเห็นผลเมื่อซูมขยายภาพเพื่อตรวจสอบรายละเอียดความคมชัด นอกจากนี้ให้ดูองศาในการมองภาพด้วย บางรุ่นต้องมองตรงๆเท่านั้น หากมองเฉียงจะเห็นภาพจางลง แต่บางรุ่นมีมุมมองกว้างมากถึง 160 องศา กลอ้งบางรุ่นออกแบบให้จอมอนิเตอร์ปรับพลิกก้มเงยและหมุนได้รอบ ทำให้สะดวกในการถ่ายภาพมุมสูงหรือมุมต่ำ

คู่มือสำหรับเลือกซื้อกล้อง DSLR 1


คู่มือเลือกซื้อกลอ้ง DSLR
          กลอ้งรุ่นใหนดี? คำถามยอดนิยมสำหรับผู้ที่สนใจหรือกำลังตัดสินใจ ซื้อกล้องดิจิตอลมาไว้ใช้งานซักตัวหนึ่ง ทั้งนี้เพราะกลอ้งดิจิตอลในปัจจุบันมีให้เลือกซื้อมากมาย โดยเฉพาะกลอ้งแบบดิจิตอล SLR ที่มีราคาถูกลงมาก และได้รับความนิยมมกขึ้นทุกวันราคาเพิ่มต้นเพียงหมื่นกว่าบาท ใกล้เคียงกับกลอ้งดิจิตอลแบบคอมแพคทีเดียว และมีให้เลือกนับสิบจากหลายยี่ห้อ ซึ่งมีข้อดีและข้อเสียต่างกันไป การที่จะตัดสินใจเลือกซื้อกล้องดิจิตอลจึงนับเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวไม่น้อย โดยเฉพาะหากคุณเป็นมือใหม่ ไม่เคยรู้เรื่องกล้องดิจิตอลมาก่อน บทความนี้จะเป็นแนวทางในการตัดสินใจของคุณค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553

Canon EOS-550D



Canon EOS-550D          

          เปิดตัวไปแล้ว สำหรับกล้อง Canon EOS-550D ใหม่ ที่พัฒนาต่อเนื่องมาจากรุ่น Canon EOS-500D หลังจากที่รุ่น Canon EOS-500D ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในทั่วโลก รวมทั้งในเมืองไทย เนื่องด้วยมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมมากมาย และราคาไม่แพงมาก ในกล้องรุ่น EOS-550D ใหม่นี้ มีคุณสมบัติที่น่าทึ่งและน่าสนใจเพิ่มเติมเข้ามามากมาย อาทิ เช่น เซ็นเซอร์ภาพแบบ APS-C CMOS sensor ความละเอียดสูงถึง 18 ล้านพิกเซล (ขนาดเซ็นเซอร์และความละเอียดเท่ากับรุ่น EOS-7D แต่ไม่ใช่เซ็นเซอร์ตัวเดียวกัน) ใช้หน่วยประมวลผลภาพใหม่ DIGIC 4 processor มีช่วงความไวแสงกว้าง ISO 100-6400 (ขยายได้สูงสุดถึง ISO 12800) ถและถ่ายวิดีโอคุณภาพสูงระดับ Full HD จอมอนิเตอร์ LCD ใหม่แบบ Clear View LCD ขนาด 3.0 นิ้ว อัตราส่วน 3:2 มีความละเอียดสูงมากถึง 1,040,000 พิกเซล!!! มีช่องต่อไมโครโฟนสำหรับบันทึกเสียงภายนอก เพื่อให้ได้คุณภาพเสียงที่ดียิ่งขึ้น และมีฟังก์ชั่นตัดส่วนภาพในโหมดวิดีโอด้วย

5 หลุมพรางของ “นักถ่ายภาพมือใหม่” !!


5 หลุมพรางของ “นักถ่ายภาพมือใหม่” !!


1. ภาพฉันแย่จัง

          เป็นความคิดยอดนิยมที่มักโผล่เข้ามาในสมองของเหล่ามือใหม่ที่ถ่ายภาพออกมา ว่าทำไมภาพของฉันแย่จริงๆ ถ่ายมาเป็นร้อยเป็นพันก็ยังไม่ค่อยดี แต่บางสิ่งที่อาจไม่รู้คือภาพสวยๆ ที่เรามักเห็นกันบนอินเตอร์เน็ต แน่นอนว่าหลายๆ ภาพที่สวยงาม รอบๆ หรือภาพที่ติดๆ กันย่อมมีภาพเสียๆ โผล่มาด้วยแน่นอน (แค่เขาไม่ได้เอามาแสดง แค่นั้นเอง) เรื่องอย่างนี้อยู่ที่การพัฒนา สักพักภาพเสียก็จะน้อยลงไปเอง

ความรู้พื้นฐานที่นักถ่ายรูปทุกคนควรทราบ 4 จบ


การวัดแสงเพื่อการถ่ายภาพ


เทคนิคการวัดแสงขั้นพื้นฐาน ให้พิจารณาจากปัจจัยสำคัญดังนี้

แหล่งต้นกำเนิดแสง

          กล้องปัจจุบันสามารถปรับสมดุลย์สีขาว (White balance) ได้อัตโนมัติ ผู้ใช้กล้องทั่วไปจึงไม่ได้ให้ความสำคัญในส่วนนี้ แต่แท้จริงแล้วเป็นส่วนสำคัญที่จะได้ภาพที่มีสีสรรถูกต้อง เนื่องจากฟิล์มถูกผลิตมาให้เหมาะสมกับอุณหภูมิสีของแสงตามที่ออกแบบมา เช่น แสงอาทิตย์ (Daylight) หรือแสงจากหลอดไส้ หรือแสงจากหลอดนีออน เป็นต้น หากเป็นกล้องดิจิตอลรุ่นใหม่ มักจะออกแบบมาให้สามารถปรับเปลี่ยนชนิดแหล่งต้นกำเนิดแสงได้ แม้ว่ากล้องจะมีปุ่มปรับสมดุลย์สีขาวอัตโนมัติ (Auto White balance) มาแล้วก็ตาม แต่บางครั้งการทำงานของระบบอัตโนมัติก็ไม่ถูกต้องนัก ซึ่งเราจะเห็นได้จากจอ LCD ว่าสีเพี้ยน หากเป็นเช่นนี้เราก็ต้องปรับตั้งแหล่งต้นกำเนิดแสงด้วยตนเอง เช่น แสงอาทิตย์ / แสงอาทิตย์มี

ความรู้พื้นฐานที่นักถ่ายรูปทุกคนควรทราบ 3


การเลือกความเร็วชัตเตอร์ที่เหมาะสมกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ


ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเลือกความเร็วชัตเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของวัตถุนั้น ให้พิจารณาดังนี้

ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ

          แบ่งทิศทางการเคลื่อนที่เป็น 2 ลักษณะ คือเคลื่อนที่เข้าหา/ออกห่างกล้อง หรือ เคลื่อนที่ผ่านกล้องจากซ้ายไปขวาหรือกลับกัน โดยที่การเคลื่อนที่เข้าหาหรือออกห่างจากกล้องนั้นสามารถเลือกใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำว่าการเคลื่อนที่ผ่านกล้อง เช่น รถยนต์ที่ขับด้วยความเร็วด้วยความเร็ว 60 กม./ชม.เท่ากัน ที่เคลื่อนที่เข้าหากล้อง อาจใช้ความเร็วชัตเตอร์ 1/125 แต่ถ้าเคลื่อนที่ผ่านกล้อง อาจต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์ถึง 1/500

วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553

ความรู้พื้นฐานที่นักถ่ายรูปทุกคนควรทราบ 2


การตั้งความเร็วชัตเตอร์และขนาดรูรับแสง

          การเลือกคู่ที่เหมาะสมตามตัวอย่างในหัวข้อ ความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วชัตเตอร์กับขนาดรูรับแสง ให้พิจารณาได้จากปัจจับต่างๆดังนี้

1. ความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุที่จะถ่าย

วัตถุที่เคลื่อนที่เร็ว แต่เราต้องการภาพชัด ต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงสุดเท่าที่กล้องจะทำได้ แต่ถ้าเป็นวัตถุที่อยู่นิ่งนั้น สามารถเลือกความเร็วชัตเตอร์เท่าไรก็ได้

2. ความชัดลึกของวัตถุที่จะถ่าย

          ขนาดรูรับแสงเล็ก เช่น f/22 จะให้ความชัดลึกมากกว่าขนาดรูรับแสงกว้าง เช่น f/1.4 ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญมากในการถ่ายภาพระยะใกล้ หรือใช้เลนส์ถ่ายไกลในการถ่ายภาพ


การชดเชยแสง


          เป็นการปรับปริมาณแสงในการบันทึกภาพให้แตกต่างไปจากค่าที่ได้จากเครื่องวัดแสง เช่น การถ่ายภาพย้อนแสงนั้น ค่าที่ได้จากเครื่องวัดแสง มักจะได้ค่าที่ทำให้วัตถุค่อนข้างมืด การชดเชยแสง โดยเพิ่มแสงมากกว่าที่วัดแสงได้ หรืออีกกรณีหนึ่งคือ การถ่ายภาพวัถตุที่อยู่หน้าฉากหลังสีดำ ค่าที่ได้จากเครื่องวัดแสงมักจะได้ค่าที่ทำให้วัตถุค่อนข้างสว่างเกินไป การชดเชยแสงทำได้โดยลดแสงให้น้อยกว่าที่วัดแสงได้ เป็นต้น



การเปลี่ยนความเร็วชัตเตอร์และขนาดรูรับแสงเพื่อชดเชยแสง

          ในการชดเชยแสงนั้น นิยมปรับเปลี่ยน เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งคือความเร็วชัตเตอร์ หรือ ขนาดรูรับแสง หลักการชดเชยแสงก็มีเพียงสองทาง คือ เพิ่มแสง หรือลดแสง


การเพิ่มแสง

          การปรับที่ความเร็วชัตเตอร์ คือ การลดความเร็วชัตเตอร์ลง เช่น วัดแสงได้ 1/500 วินาที เพิ่มแสง 1 ระดับก็ต้องตั้งความเร็วชัตเตอร์เป็น 1/250 ยึดหลักว่าถ้าชัตเตอร์ปิดช้าลงก็จะต้องได้แสงมากขึ้นแน่นอน หากเพิ่มแสงโดยปรับที่ขนาดรูรับแสงก็ต้องเพิ่มขนาดรูรับแสงให้ใหญ่ขึ้น เช่น วัดแสงได้ f/4 เพิ่มแสง 1 ระดับก็ต้องเปลี่ยนเป็น f/2.8


การลดแสง

          การปรับที่ความเร็วชัตเตอร์ คือ การเพิ่มความเร็วชัตเตอร์ เช่น วัดแสงได้ 1/500 วินาที ลดแสง 1 ระดับ ก็ต้องตั้งความเร็วชัตเตอร์เป็น 1/1000 คือให้ชัตเตอร์ปิดเร็วขึ้นเท่าตัวนั่นเอง หากลดแสงโดยปรับที่ขนาดรูรับแสง ก็ต้องลดขนาดรูรับแสงให้เล็กลง เช่น วัดแสงได้ f/4 ลดแสง 1 ระดับ ก็ต้องเปลี่ยนเป็น f/5.6

ความรู้พื้นฐานที่นักถ่ายรูปทุกคนควรทราบ 1


ความเร็วชัตเตอร์

          ความเร็วชัตเตอร์ เป็นการกำหนดระยะเวลาในการบันทึกภาพ ซึ่งกลไกของกล้องจะมีแผ่นเลื่อนเปิดปิดอยู่หน้าฟิล์ม (หรือแผ่นรับแสง CCD ในกรณีของกล้องดิจิตอล) เรียกว่าชัตเตอร์ สามารถเปิดและปิดเพื่อเปิดให้แสงเข้าไปบันทึกภาพตามระยะเวลาที่เราตั้งความเร็วชัตเตอร์ เราต้องเลือกให้เหมาะสมกับวัตถุที่ต้องการถ่ายภาพ โดยทั่วไปจะพิจารณาจากสภาพแสง เช่น การถ่ายภาพจากแหล่งแสงที่มีแสงน้อย เช่น แสงเทียน ต้องเลือกใช้ความเร็วชัตเตอร์หลายวินาที ส่วนการถ่ายภาพกลางแจ้ง มีแดดจัด ต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงกว่า เช่น 1/500 วินาทีเป็นต้น ปัจจัยอื่นที่สำคัญคือ ความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุ เช่น การถ่ายภาพรถยนต์เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว ต้องการให้ภาพคมชัด ต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงสุดเท่าที่ทำได้ โดยสัมพันธ์กับขนาดรูรับแสงที่เลือก เช่น ตั้งความเร็วชัตเตอร์ที่ 1/4000 วินาที เป็นต้น



ขนาดรูรับแสง

กล้องส่วนใหญ่จะมีอุปกรณ์บังคับให้แสงผ่านเลนส์มากหรือน้อย โดยใช้แผ่นกลีบโลหะซึ่งติดตั้งอยู่ในตัวเลนส์เป็นการกำหนดปริมาณแสงผ่านเลนส์ได้มากหรือน้อย โดยวิธีเปิดรูเล็กสุด เช่น f/22 และค่อยๆใหญ่ขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งเปิดเต็มที่ เช่น f/1.4 แต่ขนาดเปิดเต็มที่จะขึ้นกับขนาดชิ้นเลนส์ด้วย เลนส์ราคาสูงที่มีเลนส์ชิ้นหน้าขนาดใหญ่ จะรับแสงได้มากกว่า ซึ่งหมายถึงเปิดรูรับแสงเต็มที่ได้กว้างกว่า เช่น f/1.2 สำหรับการถ่ายภาพจะเลือกใช้ขนาดรูรับแสงใด โดยทั่วไปจะพิจารณาจากสภาพแสง ถ้าแสงมากมักจะใช้ขนาดรูรับแสงเล็ก เช่น f/11 ถ้าแสงน้อยมักจะใช้ขนาดรูรับแสงใหญ่ เช่น f/2 เป็นต้น ปัจจับอื่นที่สำคัญ คือ ความชัดลึก

ความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วชัตเตอร์กับขนาดรูรับแสง
การตั้งความเร็วชัตเตอร์และขนาดรูรับแสง ต้องมีความสัมพันธ์กัน เพื่อให้ได้ปริมาณแสงที่พอเหมาะในการบันทึกภาพ ซึ่งในสภาพแสงเดียวกัน และเลือกค่าความไวแสงเท่ากัน สามารถตั้งค่าที่เหมาะสมได้หลายค่า ตามตัวอย่าง เช่น


7 เทคนิคง่ายๆของการถ่ายภาพบุคคล ( Portrait )

7 เทคนิคง่ายๆของการถ่ายภาพบุคคล ( Portrait )



โฟกัสที่ตา

          หลักการสำคัญข้อแรกของการถายภาพบุคคลคือการโฟกัสที่ดวงตา เนื่องจากดวงตานั้นเป็นส่วนสำคัญที่สุดในภาพเนื่องจากเป็นสิ่งที่บ่งบอกและแสดงถึงอารมณ์ของภาพ ถ้าหากว่าเราไม่ได้โฟกัสที่ดวงตาและทำให้ตาไม่ชัดนั้นตัวแบบที่เราถ่ายจะดูเหมือนคนสุขภาพไม่ดีดูเหมือนคนป่วยทำให้ภาพขาดความน่าสนใจไปในทันที เหตุที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการถ่ายภาพบุคคลนั้นเรามักจะใช้รูรับแสงที่กว้างซึ่งจะทำให้มีระยะชัดลึกที่น้อย ถึงแม้ว่าเราจะทำการโฟกัสที่ใบหน้าแล้วก็ตามแต่หลายครั้งเอาอาจพบกรณีที่จมูกชัดแต่ดวงตาไม่ชัดหรือบางครั้งเป็นแก้มหรือว่าใบหูชัดแต่ดวงตาไม่ชัดก็มี การโฟกัสที่ดวงตาให้ชัดนั้นบางครั้งบริเวณไหล่หรือว่าใบหูไม่ชัดก็จะยังสามารถเป็นภาพที่ดีได้ ดวงตานั้นเป็นหน้าต่างของหัวใจการโฟกัสดวงตาให้ชัดจึงสำคัญเป็นประการแรก

อย่าตัดบริเวณข้อต่อ

          หลักการสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือการจัดองค์ประกอบภาพนั้นอย่าตัดกรอบภาพบริเวณข้อต่อ ซึ่งจะได้แก่ คอ ข้อศอก ข้อมือ เอว หัวเข่า ข้อเท้า เนื่องจากจะทำให้อารมณ์ภาพนั้นดูไม่ดี ความรู้สึกของคนดูภาพจะรู้สึกเหมือนว่าตัวแบบของเรานั้นแขนหรือขาขาดได้ การตัดกรอบภาพบริเวณแขนขาหรือลำตัวนั้นทำได้เพียงแต่เราต้องไม่ตัดบริเวณข้อต่อเท่านั้นเอง เนื่องจากข้อต่อต่างๆเป็นจุดเชื่อมต่อของร่างกายอยู่แล้ว การตัดบริเวณข้อต่อนั้นจะเป็นการเน้นย้ำความรู้สึกคนดูภาพว่าอวัยวะส่วนนั้นอาจขาดหายไปได้มากจนเกินไป การระวังไม่ตัดบริเวณข้อต่อจะทำให้ได้ภาพที่ดีกว่า


สื่อสารกับตัวแบบของคุณให้ชัดเจน

          เพราะว่าการถ่ายภาพ Portrait นั้นช่างภาพไม่ได้ทำงานคนเดียวเหมือนกับการถ่ายภาพแนวอื่นเช่นการถ่ายภาพทิวทัศน์ การถ่ายภาพบุคคลนั้นจึงเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างผู้ถ่ายและตัวแบบ ซึ่งต้องมีการสื่อสารพูดคุยกันว่าอย่างได้อารมณ์และท่าทางแบบไหน ศิลปะในการสื่อสารจึงเป็นสิ่งสำคัญประการแรกเลย คืออย่าทำให้ตัวแบบเรามีความเครียดอย่างเด็ดขาด เพราะว่าจะทำให้ไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ที่เป็นธรรมชาติออกมาได้ พยายามบอกเล่าและสื่อสารกันให้เข้าใจให้ได้ ว่าท่านต้องการอารมณ์และท่าทางแบบไหน เมื่อสามารถสื่อสารได้ตรงกันแล้วเชื่อแน่นอนได้ว่า คุณจะได้อารมณ์ของภาพแบบที่คุณต้องการได้ไม่ยากนัก

ปล่อยให้เขาเป็นในแบบที่เขาเป็น

          ในการถ่ายภาพบุคคลบางอย่างเช่นภาพแนววิถีชีวิต แนวสารคดีหรือว่าแนวอื่นๆก็ตาม บางครั้งเราต้องถ่ายภาพเพื่อสื่อความเป็นตัวตนของคนๆนั้นออกมา มากกว่าการที่จะให้คนๆนั้นทำตาม Concept ที่เราวางเอาไว้ ซึ่งภาพแนวนี้เราต้องมองให้เห็นและดึงความเป็นตัวตนของเขาออกมา โดยปล่อยให้เขาเป็นในแบบที่เขาเป็น ซึ่งสำหรับภาพแนววิถีชีวิตหรือแนวสารคดีนั้น การเดินเข้าไปถ่ายตรงๆนั้นค่อนข้างจะเสียมารยาทและทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้บ่อย การที่คนมีกล้องมีสิทธิ์ที่จะถ่ายภาพนั้นคนถูกถ่ายก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ให้ถ่ายได้พอๆกัน เราควรที่จะเข้าไปพบปะพูดคุยกันเสียก่อนแสดงความเป็นมิตรกับผู้ที่เราจะถ่ายภาพเขา ถ้าหากว่าเราผูกมิตรกับเขาได้โอกาสที่จะได้ภาพสวยๆนั้นมีความเป็นไปได้สูงครับ บางครั้งเราอาจต้องพูดคุยไปถ่ายไปและคอยจับกริยาท่าทางของเขาและก็ค่อยๆถ่ายไป แน่นอนครับในหลายๆครั้งเราต้องรอจับจังหวะถ่ายเอาเอง เพราะการจะบอกให้เขาทำท่าตามที่เราต้องการนั้นบางครั้งจะทำให้เขาเกร็งได้ครับ อย่างภาพตัวอย่างนี้ผมถ่ายภาพ “แป๊ะหลี” ซึ่งเป็นพ่อค้าขายกาแฟคนดังแห่งตลาดคลองสวนครับ ก็ต้องอาศัยเข้าไปนั่งพูดคุยกันอยู่สักพักถึงจะได้รูปดีๆมาครับ


Window light

          การควบคุมทิศทางแสงนั้นถือเป็นเทคนิคสำคัญอย่างหนึ่งของการถ่ายภาพบุคคลให้มีความแตกต่าง ในสถานะการณ์ต่างๆนั้นก็จะมีสภาพแสงที่แตกต่างกันไป ซึ่งเราต้องหาให้เจอว่าจะใช้งานแต่ละสภาพแสงนั้นๆอย่างไร หนึ่งเทคนิคที่สามารถใช้งานได้ง่ายคือการใช้งานแสงที่เข้ามาเพียงด้านเดียว ซึ่งจะเรียกว่า Window light เทคนิคนี้ใช้งานไม่ยากและสร้างความแตกต่างในภาพได้ดี เราสามารถใช้เทคนิคนี้ได้โดยการหาสถานที่ที่มีแสงเข้ามาด้านเดียว เช่นด้านข้างหน้าต่าง ประตู หรือว่าช่องกำแพงก็ได้ ขอให้เป็นสถานที่ๆสามารรถบีบให้แสงเข้ามาจากด้านเดียวได้ แล้วจัดให้แสงเข้ามาด้านข้างของตัวแบบ เท่านี้เราก็จะได้ภาพแสงที่แตกต่างจากปกติอยู่พอสมควรแล้วซึ่งเทคนิคนี้ไม่ยากจนเกินไปนัก อยู่ที่เราจะสามารถหาสภาพแสงในสถานที่นั้นๆได้หรือไม่ จากภาพตัวอย่างข้างล่างเป็นภาพที่ให้ตัวแบบยืนข้างๆช่องแสง เพื่อให้มีแสงเข้ามาทางด้านขวาของภาพเพียงด้านเดียว ทำให้ได้ภาพที่มีลักษณะแปลกตาและน่าค้นหามากขึ้น


ถ่ายภาพย้อนแสง

          หลายครั้งเราอาจเคยได้ยินว่าการถ่ายภาพย้อนแสงนั้นจะให้ให้ตัวแบบหน้าดำและได้ภาพที่ไม่ดี แต่ในความเป็นจริงแล้วการถ่ายภาพบุคคลย้อนแสงนั้นมีสิ่งที่ซ่อนอยู่ โดยเราจะได้ประกายของเส้นผมเกิดขึ้นจากการถ่ายภาพย้อนแสง ซึ่งสิ่งที่เราเองทำการแก้ไขคือการทำไม่ให้ตัวแบบเรานั้นหน้าดำซึ่งวิธีแก้นั้นจะมีอยู่ 3 วิธีด้วยกันได้แก่
1. ใช้การวัดแสงแบบเฉพาะจุดวัดแสงที่บริเวณแก้มของตัวแบบ ( วิธีการนี้อาจทำให้ฉากหลังว่างเกินไป)
2. ใช้แฟลชช่วยเติมแสงบริเวณใบหน้า
3. ใช้ Reflex ในการเติมแสงบริเวณใบหน้า ( วิธีนี้จะให้แสงที่นุ่มและมีมิติมากกว่าการใช้แฟลชธรรมดา แต่ต้องมีคนช่วยถือให้)
          จากสามวิธีการข้างต้นนั้นจะทำให้เราสามารถถ่ายภาพย้อนแสงโดยมีประกายที่เส้นผมได้ โดยที่ไม่ทำให้ตัวแบบของเราหน้าดำอีกต่อไป วิธีการนี้ไม่ยากและนำไปปรับใช้กับสถานะการณ์ต่างๆได้ไม่ยากครับ

การถ่ายภาพบุคคลร่วมกับทิวทัศน์

          ในหลายๆครั้งที่เราต้องถ่ายภาพบุคคลร่วมกับฉากหลังโดยที่เราจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับทั้งสองอย่างเช่น การไปถ่ายรูปในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆหรือการถ่ายรูปกับสถานที่สำคัญ เรามักพบว่าโดยทั่วไปมักจะวางตัวแบบไว้ตรงกลางภาพซึ่งในหลายครั้งตัวแบบของเราจะไปบดบังภาพทิวทัศน์เบื้องหลัง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมีวิธีง่ายๆที่จะทำให้ทั้งสองสิ่งอยู่ร่วมกันได้ ใน Tips&Trick ฉบับที่แล้ว เราพูดถึงการวางจุดสนใจในภาพซึ่งเราสามารถนำหลักการนั้นมาใช้งานร่วมกับการถ่ายภาพบุคคลได้เช่นกัน โดยให้เราทำการวางคนไว้ด้านซ้ายหรือด้านขวาภาพตามกฎของจุดตัด 9 ช่อง (ดูรายละเอียดจุดตัด 9 ช่องได้ใน Tips ฉบับก่อน) จะทำให้สามารถเก็บภาพของทิวทัศน์เบื้องหลังและภาพของตัวแบบเอาไว้ได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ อีกวิธีการหนึ่งก็คือถ้าหากว่าเราต้องการถ่ายร่วมกับตึกหรือสิ่งที่มีลักษณะเป็นทรงตั้ง ให้เราจัดองค์ประกอบภาพเหมือนกับเป็นการถ่ายภาพคู่ก็ได้โดยให้จินตนาการว่าสถานที่นั้นๆเป็นคนอีกคนหนึ่ง ดังรูปที่สองด้านล่างที่เป็นคนถ่ายคู่กับโดมของธรรมศาสตร์

CAMERA-style: เลือกซื้อกล้องดิจิตอลให้เหมาะกับตัวคุณ

สำหรับผู้ที่กำลังมองหากล้องดิจิตอล วันนี้เรามีหลักในการพิจารณาก่อนเลือกซื้อมาฝากกัน
1. อันดับแรกเลยคือเงินทุน แน่นอนว่าแต่ละคนเงินทุนต่างกัน เพื่อให้ง่ายต่อการเลือกซื้อกล้องดิจิตอล อย่าลืมเตรียมเงินตัวเองให้พร้อม

2. ความต้องงานในแง่การใช้งาน ลองนึกดูเล่นๆว่าหากไดเ้กล้องตัวนี้ไปคุณจะเอาไปถ่ายภาพอะไร เพื่ออะไร


3. ไตร่ตรองดูว่ารูปถ่ายที่ออกมาต้องเป็นอย่างไร สำหรับผู้ที่ใช้นานๆครั้ง และใช้ถ่ายภาพครอบครัวในวันหยุดพักผ่อน ใช้กล้องที่มีขนาด 5 เมกะพิกเซลก็เพียงพอแล้ว หากต้องการภาพถ่ายที่สามารถพิมพ์ภาพได้ขนาดใหญ่ คุณจำเป็นต้องใช้กล้องที่ให้จำนวนพิกเซลมากขึ้น แต่สมัยนี้กล้องอย่างต่ำๆก็มีความละเอียดถึง 7.2 เมกะพิกเซล

4. หลังจากที่คุณได้ขอบเขตความต้องการของตัวเองที่แคบลงแล้ว คุณก็อาจจะเข้าไปค้นหาข้อมูลออนไลน์เปรียบเทียบกล้องแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อเหล่านี้ มีหลายเว็บไซต์ที่ให้คุณค้นกล้องดิจิตอลตามสเปกที่ระบุ หรือแสดงการเปรียบเทียบในแต่ละด้าน อีกอย่างคุณควรรู้รายละเอียดและสเปกทั้งหมดของกล้อง ก่อนไปที่ร้าน เพราะคนขายอาจจะกดดันและทำให้สับสนจนทำให้คุณซื้อก่อนเวลาอันควร

5. เมื่อคุณมีกล้องในใจสัก 2-3 ตัว คุณก็อาจจะลองไปที่ร้านค้า เพื่อลองจับกล้องนั้นจริงๆ และทดลองปรับคุณสมบัติต่างๆที่มี รวมถึงดูคุณภาพของจอ LCD ด้วย เพราะกล้องบางตัวที่เราเห็นสเปกแล้วชอบขึ้นมาในทันที เวลาได้จับของจริงแล้วอาจจะรู้สึกคนละแบบ แล้วเปลี่ยนใจได้เหมือนกัน

6. เมื่อคุณเลือกกล้องที่คุณต้องการได้แล้ว ก็อย่าลืมสอบถามราคาและโปรโมชั่นจากร้านต่างๆ แล้วลองเปรียบเทียบกันดู

7. อย่าลืมเก็บใบเสร็จ กล่องบรรจุกล้องและเอกสารรับประกันที่เกี่ยวข้อง แล้วควรจะลงทะเบียนกับทางโรงงานเพื่อทำการยืนยันการรับประกัน โดยจะช่วยให้ขั้นตอนต่างๆง่ายขึ้นเมื่อต้องการเคลมสินค้า

วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553

CAMERA ME++


ประเภทของกล้องดิจิตอล

หลายท่านอาจกำลังเลือกซื้อกล้องดิจิตอลอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะเลือกแบบไหนดี แล้วแบบไหนจะเหมาะกับตัวเรา อย่างแรกเลย เราต้องรู้ก่อนว่ากล้องดิจิตอลมีกี่แบบ แต่ละแบบจะเหมาะกับใคร หรือเหมาะกับการใช้งานประเภทไหนกล้องดิจิตอลสามารถแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ดังนี้ครับ


กล้อง Ultra-Compact
เป็นกล้องเอนกประสงค์ ขนาดเล็ก กะทัดรัด สามารถพกติดตัวไปได้ทุกที่น้ำหนักเบา บาง ราคาค่อนข้างสูง มีรุ่นให้เลือกน้อย ระบบเกี่ยวกับการถ่ายภาพค่อนข้างจำกัดการใช้งานไม่สะดวกเท่าไหรเนื่องจากปุ่มควบคุมต่างๆ จะเล็ก จับไม่ค่อยถนัดเหมาะสำหรับผู้หญิง หรือใช้ในการทำงานที่ต้องพกพาเป็นประจำ

กล้อง Compact
เป็นกล้องเอนกประสงค์ ขนาดปานกลาง สามารถพกติดตัวได้ แต่อาจไม่สะดวกเท่ากับ Ultra-Compact มีหลายรุ่น หลายราคา ให้เลือกใช้มีระบบการถ่ายภาพให้เลือกมากกว่า การใช้งานคล่องตัว การจับถือและการใช้ปุ่มต่าง คล่องตัวกว่า Ultra-Compact เหมาะสำหรับใช้งาน และถ่ายภาพท่องเที่ยวทั่วไป

กล้อง SLR-Like
เป็นกล้องขนาดค่อนข้างใหญ่ รูปร่างหน้าตาคล้าย DSLR สมชื่อ วัสดุที่ใช้ทำตัวกล้องและเลนส์ จะมีคุณภาพดีกว่าแบบ Compact มีฟังก์ชั่นสำคัญๆ ในการบันทึกภาพ การควบคุมการทำงานครบใกล้เคียง DSLR จะมีช่วงซูมเลนส์มากกว่าแบบ Compact สามารถติดอุปกรณ์เสริมได้ แต่ถอดเปลี่ยนเลนส์ไม่ได้ เหมาะสำหรับ ผู้ที่เริ่มต้นสนใจการถ่ายภาพ ที่ต้องการถ่ายภาพแบบก้าวหน้า แบบกึ่งมืออาชีพ แต่ยังไม่อยากลงทุนสูง

กล้อง DSLR
เป็นกล้องระดับมืออาชีพ ขนาดค่อนข้างใหญ่และหนัก ราคาสูง มีฟังก์ชั่นในการบันทึกภาพครบครัน มีอุปกรณ์เสริมมากกว่าสามารถถอดเปลี่ยนเลส์ได้ เหมาะสำหรับมืออาชีพ หรือผู้สนใจการถ่ายภาพที่มีทุนสูง